เทคโนโลยี Deepfake ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสร้างวิดีโอ ภาพ หรือเสียงปลอมที่ดูสมจริงจนแทบแยกไม่ออก ได้กลายเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงและแพร่หลายอย่างมากในปี 2025 ความก้าวหน้าของ AI ทำให้การแยกแยะระหว่างสิ่งที่ “จริง” กับสิ่งที่ “ปลอม” ยากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลข่าวสารและชีวิตส่วนตัวของผู้คนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เทคโนโลยี Deepfake คืออะไร
Deepfake ทำงานอย่างไรและภัยคุกคามมีอะไรบ้าง? Deepfake ใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ในการสังเคราะห์ใบหน้าและเสียงให้เป็นบุคคลเป้าหมายโดยใช้ข้อมูลจากรูปภาพหรือวิดีโอที่มีอยู่แล้ว ด้วยความสมจริงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภัยคุกคามจึงมีหลากหลายมิติ มิจฉาชีพใช้ Deepfake ในการปลอมเป็นบุคคลสำคัญ (เช่น CEO หรือผู้บริหาร) เพื่อสั่งการโอนเงิน หรือหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (Scam Call) นอกจากนี้ยังใช้ในการสร้างวิดีโอปลอมเพื่อโจมตีทางการเมืองหรือบ่อนทำลายชื่อเสียงของบุคคลสาธารณะ แต่ภัยที่รุนแรงที่สุดคือ ภัยคุกคามทางเพศ (Non-Consensual Deepfake) โดยเป็นการนำใบหน้าบุคคลไปตัดต่อในวิดีโออนาจาร ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างถาวรต่อเหยื่อ โดยเฉพาะผู้หญิง
วิธีจับสังเกตและป้องกันตัวเองจาก Deepfake การป้องกัน Deepfake ต้องเริ่มจากการสังเกตและสร้างความตระหนักรู้ต่อความเสี่ยงในโลกออนไลน์ สัญญาณบ่งชี้ในวิดีโอที่ควรสังเกตคือ การขยับริมฝีปาก/สายตา ที่ดูไม่สัมพันธ์กับเสียงพูด ใบหน้ามีสัดส่วนผิดปกติ หรือการกะพริบตาที่น้อยเกินไปอย่างไม่เป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ควรสังเกต ภาพที่ไม่ต่อเนื่อง หรือ แสงและเงา บนใบหน้าที่ดูไม่สมจริงไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบ มาตรการป้องกันเบื้องต้นที่สำคัญที่สุดคือการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว จำกัดการเผยแพร่ภาพถ่ายและวิดีโอส่วนตัวบนโซเชียลมีเดีย และที่สำคัญที่สุดคือ หากมีการร้องขอข้อมูลส่วนตัวหรือการโอนเงินจากคนรู้จักผ่านวิดีโอคอล ควรยืนยันตัวตนสองชั้น โดยการโทรกลับไปที่เบอร์โทรศัพท์ที่เคยติดต่อ หรือใช้คำถามส่วนตัวที่มีเพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่รู้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเทคโนโลยีที่บิดเบือนความจริงนี้
อัพเดทข่าวสาร เพิ่มเติมที่ The7days
